วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

One Day Trip. plan is no plan ไปชมของใหญ่ที่สุดในโลก

 เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงานผมเองก็ชอบที่เดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะกับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานยนต์ และวันนี้ผมก็มีเวลาว่างแม้จจะแค่วันเดียวแต่ก็ไม่อยากให้เสียเปล่า ร่างกายมันอยากปะทะลมหนาวที่กำลังโชยพัดเข้ามา ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างแบบนี้ทริปการเดินทางแบบ ond day trip ก็เกิดขึ้น




ล้อเริ่มหมุนออกจากบ้านก่อนแปดโมงเช้าเล็กน้อย โดยมีแผนคร่าวๆเอาไว้ในหัวคือไปไหว้หลสวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกที่ปากช่อง เมื่อมีแผนแล้วก็ออกเดินทางทันที โดยควบเจ้าหาเวรลัดเลาะไปตามเส้นทางรอง นั่นคือเส้นทางหลวงชนบท ผมชอบใช้เส้นทางแบบนี้เพราะมันไม่พลุกผล่านและมีธรรมชาติให้ชม


ระหว่างทางเห็นศาลารอรถแบบเก่าที่เป็นทรงจั่ว ศาลาแบบนี้ตอนนี้เริ่มมีให้เห็นน้อยลงเพราะถูกแทนที่ด้วยศาลารอรถแบบใหม่แต่โดยส่วนตัวผมชอบศาลาทรงนี้เพราะมีนมีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่ชัดเจน และยังใช้หลบแดดหลบฝนได้ดี รวมถึงบางครั้งก็ยังใช้เป็นที่นอนพักยามเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ด้วย


การเดินทางท่องเที่ยวของผมในแต่ละครั้งจะไม่เร่งรีบเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย แต่จะเป็นการเดินทางแบบเรื่อยๆเห็นอะไรน่าสนใจก็จะแวะเข้าไปดูเพราะผมถือคติว่า"การเดินทางที่น่าจดจำ ไม่ใช่แค่จุดหมายที่เราจะไป แต่เป็นสิ่งต่างๆระหว่างเส้นทางที่เราผ่าน"ดังนั้นผมจึงจอดแวะชม แวะดู แวะคุย แวะกิน ไปเรื่อยๆแบบไม่เร่งรีบมากนัก เรียกว่าสายชิลล์นั่นล่ะ(ฮา)

มองไกลๆนี่เหมือ UFO จริงๆ

ระหว่างทางคราวนี้ โก๋เห็นสิ่งที่สุดตาอย่างแรกคือ UFO ลำใหญ่ เอ้ย!!อะไรวะมี UFO มาตั้งอยู่ริมถนนได้อย่างไร แบบนี้ก็ต้องเลี้ยวรถเข้าไปสำรวจสิครับ 


แต่เมื่อเข้ามาแล้วมันไม่ใช่ UFO แต่นี่คืออุโบสถ ที่เขาเขียนป้ายว่ามหาอุโบสถ ซึ่งก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาจึงได้สร้างอุโบสถหน้าตาแปลกๆแบบนี้ แต่จะถามใครก็ไม่มีใครให้ถามเพราะที่เข้ามาเดินสำรวจด้านในก็มีแค่ผมอยู่คนเดียว เรียกว่าคนเดียวโด่ดเด่(ฮา)


สภาพรอบๆอุโบสถนี้ด้านหน้ามีบึงน้ำใหญ่อยู่ทั้งสองด้าน ส่วนด้านในก็ยังมีการก่อสร้างอยู่ มีร่องรอยการก่อสร้างอยู่เต็มไปหมดแต่ไม่เห็นคนงานแม้นแต่คนเดียว นี่มันไม่ใช่วันหยุดนี่หว่าแล้วผู้คนเขาหายไปไหนกันหมด


ภายในอุโบสถโลหะทรงกลมก็มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สูงราวๆตึก4-5ชั้นประดิษฐ์ฐานอยู่ แต่สภาพรอบๆก็ยังไม่เรียบร้อย ก็อย่างที่บอกครับที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จและผมก็ไม่มีข้อมูลก็ไม่รู้จะถามใครเพราะไม่เจอใครเลยสักคนนี่หว่า

หลังจากเดินดุ่มอยู่คนเดียวไปสักพักผมก็ออกเดินทางต่อ โดยคราวนี้บิดเจ้าหาเวรยาวๆไม่แวะถ่ายรูปเพราะเส้นทางเป็นถนนใหญ่สายเอเชียมุ่งหน้าออกจากสระบุรีไปนครราชสีมา ซึ่งมีรถใหญ่รถบรรทุกพ่วงวิ่งกันเยอะมาก และผมเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันเดียวที่ขี่มุ่งหน้าออกนอกเมือง เพราะไม่มีเพื่อร่วมทางชาวสองล้อสายทริปให้เห็นเลยสักคันจนถึงทางเข้าเขาใหญ่ ผมขี่เจ้าหาเวรไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดทางเลี้ยวเข้าอุทยานหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่

ปากทางเข้ามีป้ายบอกเอาไว้ ก็จอเจ้าหาเวรถ่ายรูกเสียหน่อย

ให้หลวงพ่อคูณเขกกระโหลก โป๊กๆ

เมื่อเลี้ยวเข้ามาแล้วขี่ต่อมาอีกสักพักก็เจอวัดอีกแห่งหนึ่งที่มีรูปหล่อหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทาง จุดนี้ผมแวะยืนดูอยู่พักหนึ่งพร้อมกับถ่ายรูปอีกนิดในใจก็คิดว่าเดี๋ยวขากลับค่อยแวะมาเยี่ยมชม 




จากจุดหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่มาอีกไม่นานก็มาถึงอุทยานหลวงพ่อทวดเขาใหญ่ หลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 69เมตร มีหน้าตักกว้าง 39.99เมตร แต่บรรยากาศโดยรวมนั้นยังสร้างไม่เสร็จอีกเช้่นกัน และยังมีการเปิดรับบริจาคเพื่อสร้างหลวงพ่อทวดกันอยู่ใครไปเที่ยวหลังไหว้หลวงพ่อทวดเพื่อขอพรแล้วก็สามารถร่วมบริจากกันได้นะครับ 


ภายในวัดหลวงพ่อทวดเขาใหญ่นอกจากจะมีพระให้กราบของพรกันแล้วก็ยังมีนี่ครับ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้เพราะเป็นกระแสแรงกันเหลือเกิน "ไอ้ไข่วัดเจดีย์" เรียกว่าตอนนี้ไปวัดไหนก็จะเห็นรูปหล่อตัวแทน ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ เอาไว้ให้ผู้มาเที่ยวชมได้กราบไหว้ขอพรกัน และที่วัดหลวงพ่อทวดเขาใหญ่ก็มีด้วยเช่นกัน


ส่วนบรรยากาศภายในวัดหลวงพ่อทวดเขาใหญ่ก็มีซุ้มร้านค้าเปิดให้บริการอยู่หลายร้านและยังมีช้างเผือก(ปูนปั้น)เอาไว้ให้ลอดท้องเสริมบารมีกันตามความเชื่อของแต่ละท่าน รวมถึงยังมีสวนดอกไม้และสวนแคนตัสที่จะเปิดให้ชมปลายปี 2563นี้ แต่ที่โก๋ไปนี่ก็วันที่ 11 พ.ย. 63 แล้ว จากสภาพสวนไม่ร่าจะเสร็จเรียบร้อยในสิ้นปี รวมถึงสภาพที่เห็นก็ยังไม่อลังการชวนตื่นตาตื่นใจแต่ประการใด นอกจากนั้นบริเวณสวนดอกไม้ก็ยังมีการเตรียมทำร้านกาแฟเอาไว้ด้วยแต่วันที่ผมไปก็ยังไม่เปิดให้บริการนะครับเป็นร้านแบบโอเพ่นแอร์ ช่วงอากาศเย็นๆก็คงชิลล์ๆสบายๆแต่ถ้าฤดูร้อนนี่นึกภาพไม่ออกเลย(ฮา)


มุมมองจากด้านหน้าหลวงพ่อทวด

ลานสวนดอกไม้และแคนตัส
โรงเพาะเลี้ยงแคนตัสในสวน


บรรยากาศรอบๆ ยังโล่งมาก ต้นไม้ใหญ่มีน้อย


ซุ้มประตูทางเข้าสวนแคนตัส ด้านหลังจะเป็นร้านกาแฟ

ใครอยากลอดท้องช้างเชิญครับ


หลังจากใช้เวลาอยู่ในอุทยานหลวงพ่อทวดเขาใหญ่สองชั่วโมงเล็กน้อยผมก็บิดเจ้าหาเวรออกมายังวัดที่ตั้งใจกลับมาชมเมื่อช่วงบ่าย นั่นคือวัดที่มีรูปหล่อหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ ซึ่งวัดนี้ตอนกลับผมสังเกตเห็นว่ามีจุดที่น่าสนใจกว่ารูปหล่อหลวงพ่อคูณคืออาคารของวัดที่สร้างอยู่บนยอดเนินเขา

วัดที่อยู่บนเนินเขา

วัดที่อยู่บนเนินเขา


ทางขึ้นไปวัดบนเนินเขา ชันมากไม่มีจุดพัก

แน่นอนคนขี้สงสัยแบบผมมีหรือจะปล่อยผ่าน มันต้องเข้าไปดูคิดแล้วก็เลี้ยวรถเข้าไปยังบริเวณทางขึ้นวัดซึ่งทางขึ้นวัดบนยอดเนินเขานั้นเป็นทางหินอัด มีความชันราวๆ 35-40องศา และยาวประมาณ 50เมตร ไม่รอช้าไม่ค้องคิดมาก มือบิดกระชากคันเร้งเจ้าหาเวรลุยขึ้นไปเลย จนเหลืออีกราวๆสิบเมตรจะถึงยอดเนินเขาทางเข้าวัด ผมมัวแต่ลังเลคิดว่าจะเข้ามุมไหนทำให้ความเร็วรถตกและรถเริ่มไหลเพราะทางชันมากๆไม่มีจุดพัก แม้นจะขายาวแต่ก็ประคองรถไว้ไม่ได้สุดท้ายกลิ้งลงมาจากเนินเขาทั้งคนทั้งรถทับกันไปมา โชคดีที่ไม่กลิ้งหลุดไปด้านข้างที่เป็นหุบลงไป ไม่เช่นนั้นคงเจ็บหนักแน่ๆ 
จากความห้าวเป้งไม่สำรวจเส้นทางก่อนขี่รถขึ้นไปอย่างที่ควรจะทำ ทำให้ผมต้องเจ็บตัวก่อนปิดทริป แต่ก็ไม่มากมายแค่เข่าถลอกและมีอาการฟกซ้ำเล็กน้อยจากการโดนรถกลอ้งทับส่วนเจ้าหาเวรก็กระจกมองข้างหักทั้งสองข้าง ตุ้มปลายแฮนด์กันล้มกระเด็นหลุดหายไปข้างหนึ่ง คันเกียร์คดงอเสียรูปเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถขี่กลับบ้านได้สบายๆ

กระจกมองข้างหัก


ตุ้มกันล้มปลายแฮนด์กระเด็นหลุดหาย

ก้านเกียร์คตเล็กน้อย

เขาถลอก ซ้ำ ข้อมือเคล็ด

ในทริปนี้ถือเป็นความสนุกที่มีบทเรียนให้ผมต้องจดจำไว้อีกครั้งว่าอย่าละเลยความปลอดภัย เพราะปกติเส้นที่ไม่คุ้นชิน และดูมีอันตรายผมจะจอดรถเพื่อสำรวจเส้นทางก่อนขี่รถลุยเข้าไป แต่คราวนี้เพราะประมาทเพราะคิดว่าข้าเจ๋งเลยต้องกลิ้งลงเขาแทนที่จะจบทริปแบบเท่ๆ(ฮา)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น