เมื่อสักยี่สิบปีก่อนนั้นหากคิดจะเป็นนักเขียนการ์ตูนอาชีพได้แสดงฝีมือได้ขายงาน
หาเงินก็จะมีเพียงนิตยสารการ์ตูนไทยที่ขายดีที่สุดอย่าง ขายหัวเราะ มหาสนุก หรือการ์ตูนหัวรองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดตลก ฮาจะเกร็ง หนังสือการ์ตูนคอมมิคจากค่ายวิบูลย์กิจ เนชั่นและภาพประกอบหนังสือเด็กๆ ซึ่งก็มีเพียงไม่กี่หัวหนังสือเท่านั้นที่จะยืนหยัดและจ่ายงานจ่ายเงินค่าวาดให้กับนักเขียนการ์ตูนในประเทศไทยแบบมีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง แม้นจะดูแล้วว่ามีงานอยู่มากมายสำหรับนักเขียนการ์ตูนแต่พอเอาจริงๆกลับมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะรับงานเขียนของนักเขียนการ์ตูนได้ เพราะแต่ละที่ก็จะมีข้อจำกัดทั้งพื้นที่จำนวนหน้าของหนังสือ จำนวนหัวหนังสือที่จะพิมพ์และงบประมาณในการจ้างนักเขียนการ์ตูน
แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป สังคมของโลกจากสังคมออฟไลน์ก็กลายมาเป็นสังคมออนไลน์ สื่อกระดาษสื่อสิ่งพิมพ์หลายบริษัทต้องปรับตัวไปตามกระแสออนไลน์ ไม่ก็ลดการผลิตหรือไม่ก็หยุดกิจการไปเลยเพราะการเข้าถึงสื่อหรือข้อมูลในสมัยนี้มันง่ายขึ้นนั่นเอง และไม่เพียงสื่อนิตยสารทั่วๆไปแม้นแต่สื่อหนังสือการ์ตูนก็อยู่ในวัฏจักรนี้ด้วยเช่นกัน โลกกว้างขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้นและมีพื้นที่ให้แสดงออกมากขึ้น นักเขียนการ์ตูนจากเมื่อก่อนต้องรอพึ่งสำนักพิมพ์เพียงอย่างเดียวก็มีโอกาสมากขึ้นในการแสดงผลงานของตัวเอง
หากเป็นสมัยก่อนผมจะทำหนังสือสักเล่มสิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่ชื่อเสียงฝีมือในการ
วาดการ์ตูน แต่ต้องมีเงินทุนด้วยเพราะในการที่จะพิมพ์หนังสือสักเล่มมันมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นจัดทำอาร์ตเวิร์ค ค่าเพลต ค่าพิมพ์ บลาๆๆ อย่างน้อยๆหนังสือเล่มหนึ่ง(คุณภาพกระดาษแบบธรรมดาสุดๆ)ก็ต้องใช้เงินทุนร่วมหนึ่งแสนบาท และเมื่อพิมพ์แล้วก็ต้องไปให้บริษัทจัดจำหน่ายเขานำไปวางขายซึ่งต้องเสียค่าจัดจำหน่ายอีก40%ของยอดขาย และกว่าจะได้เงินจากการขายแต่ละเล่มต้องรอ4เดือน เพราะทางผู้จัดจำหน่ายเขาบอกต้องรวบรวมต้องตัดยอดต้องโน่นนี่นั่น เอาเป็นว่ารอไป4เดือน จึงจะเห็นเช็คงวดแรกจากการขายหนังสือเล่มหนึ่ง และถ้าคุณทำหนังสือรายเดือนหมายความว่าระหว่างนั้นคุณต้องหาทุนควักเนื้อหากไม่มีโฆษณาเข้ามา ซึ่งเป็นได้ยากมากๆสำหรับหนังสือใหม่ๆที่จะมีโฆษณา จึงไม่แปลกที่หลายคนหันมาทำหนังสือเองแล้วเจ๊งมากกว่าเจ๊า ยิ่งมายุคหลังค่าผลิตหนังสือยิ่งแพงขึ้นไปอีกเพราะต้นทุนสูงขึ้น ทั้งค่ากระดาษ ค่าพิมพ์ ค่าแรงงานต่างๆ เอาเป็นว่าการทำหนังสือสักเล่มไม่ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ นอกจากนนั้นยังมีเหตุการณ์แบบเหนือความคาดหมายอีกอย่างในกรณีผมเองเคยทำหนังสือขายซึ่งยอดขายกำลังไปได้ดีก็ต้องช๊อคเมื่อบริษัทจัดจำหน่ายประกาศล้มละลายหนังสือที่ฝากขายยังเก็บเงินได้ไม่ครบงวด ยังมีเงินค้าง บริษัทให้ไปรับหนังสือที่เหลือคืนส่วนเงินถ้าอยากได้ต้องไปฟ้องศาลเอาเอง (เวรกรรม)
แต่ในปัจจบันมันเปลี่ยนไป โลกของหนังสือโลกของการ์ตูนก็เข้าสู่ระบบออนไลน์ เราในฐานะนักเขียนการ์ตูนสามารถผลิตงานออกขายได้โดยไม่จำเป็นต้องไปลงทุนกับค่าพิมพ์อีกต่อไป แม้นระบบฝากบริษัทจำน่ายยังคงตามเรามาในโลกออนไลน์แต่มันก็ไม่ยุ่งยากเหมือนสมัยก่อนที่พิมพ์หนังสือกระดาษ เพราะหากพิมพ์ออกมาแล้วขายไม่ได้ขายไม่ดีจะทำยังไง หนังสือเหลือบานเบอะเต็มสำนักงาน และผู้จัดจำหน่ายก็ไม่เก็บหนังสือให้เราด้วยเพราะมันเก่ะก่ะเขา แต่เมื่อเป็นโลกออนไลน์หนังสือกระดาษกลายมาเป็น eBook มันจึงไม่ต้องห่วงว่าถ้าขายไม่ดีเราจะเอาหนังสือที่พิมพ์มาแล้ว5,000-10,000เล่มไปเก็บไว้ที่ไหนโดยไม่โดนปลวกแทะเสียก่อน
สำหรับนักเขียนการ์ตูนบางคนไม่รู้จะทำหนังสืออย่างไร ไม่มีไอเดียในการทำ
หนังสือก็สามารถหารายได้จากความสามารถในการวาดการ์ตูนได้ ไม่ว่าจะทำเว็บไซด์หารายได้จากโฆษณา หรือวาดภาพสวยๆแล้วไปขายในโลกออนไลน์ที่มีหลายเว็บไซด์ที่รับไฟล์ภาพเพื่อขายในรูปแบบการดาวน์โหลดไฟล์(คล้ายกับการขายโหลดไฟล์ภาพถ่ายหรือฟุตเทจวีดีโอ) แม้นก็ทั่งโปรแกรมแชตสุดฮิตที่คนไทยชื่นชอบอย่างLINE ก็เช่นกัน ใครที่มีฝีมือแต่เมื่อก่อนไม่มีสนามให้แสดงออกก็สามารถออกแบบตัวการ์ตูนแล้วไปขายในรูปแบบไฟล์สติ๊กเกอร์กับLINEได้
ดังนั้นในอนาคตระบบออนไลน์จะมีผลเข้ามาในชีวิตของคนทุกคนทุกอาชีพ และในฐานนะของนักเขียนการ์ตูนผมมองว่าอนาคตของนักเขียนการ์ตูนในยุคออนไลน์จะทำให้เราเข้าถึงแหล่งการแสดงผลงานได้ง่ายขึ้นและมีช่องทางการขายผลงานของเราได้มากขึ้นด้วยนั่นเอง ... ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนการ์ตูนยุคออนไลน์ทุกคนครับ
bufftoon
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น